ม้าสีหมอก…ของวิเศษของขุนแผน

นักรบสมัยโบราณ ทั้งเรื่องจริงและในนิยายมักจะมีพาหนะคู่ใจไม่ว่าจะเป็น “ช้าง” หรือ “ม้า” ตัวโปรดในการออกรบเสมอ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชมีม้ายูนิคอร์นชื่อ “บิวเซเฟอลัส” กวนอูแห่งสามก๊กมีม้าที่ได้รับมาจากโจโฉชื่อ “เซ็กเทา”  รินัลโด อัศวินเอกคนหนึ่งของพระเจ้าชาลมาญ  กษัตริย์ฝรั่งเศสสมัยสงครามครูเสดมีม้าชื่อ “เบยาร์ด” และขุนแผน ตัวเอกจากเสภาขุนช้างขุนแผนก็มีม้าศึกคู่กายชื่อว่า “สีหมอก”   สีหมอกเป็นม้ารุ่นที่ติดท้องแม่มาจากเมืองมฤท (มะริด) นัยว่าพ่อมันเป็นม้าน้ำเขาต้อนมาจนถึงเพชรบุรี มันซุกซนและเกเร เที่ยวไล่กัดม้าหลวงตัวอื่นในกองม้าวุ่นวายอยู่ตลอดจนเป็นที่เอือมระอา

มีลูกตัวหนึ่งชื่อสีหมอก                    มันออกวันเสาร์ขึ้นเก้าค่ำ
ร้ายกาจนักหนาในตาดำ                    เห็นม้าหลวงข้ามน้ำก็ตามมา…
ครานั้นขุนแผนแสนสนิท                ทุกทิศลือทั่วกลัวสยอง
เห็นม้าสีหมอกออกลำพอง              สมปองปรารถนาที่นึกไว้
ลักษณถูกต้องตำราสิ้น                       ดังองค์อินทร์เทวราชประสาทให้
ท่วงทีแคล่วคล่องว่องไว                    ก็เข้าไปหาหลวงทรงพลพลัน
อาชาตัวน้อยของท่านฤๅ                   จะขายซื้อเอาไว้อย่างไรนั่น
หากกระไรจงได้เมตตากัน               จะขอปันซื้อม้าสีหมอกไป

หลวงทรงพลหัวหน้าคุมกองม้าหลวงที่ซื้อมาใหม่จึงขายให้ขุนแผนในราคาสิบห้าตำลึง

ขุนแผนได้ฟังเจ้าของว่า                    สมมาดปรารถนาที่มุ่งหมาย
แก้เงินนับให้ไม่กลับกลาย                แล้วเยื้องกรายมาที่สีหมอกม้า
เสกหญ้าด้วยมหาละลวยใหญ่          เข้าใกล้สีหมอกแล้วบอกว่า
จะไปกับเราก็เข้ามา                            ยื่นหญ้าให้พลันในทันที
สีหมอกรับหญ้ามาเคี้ยวกลืน            ชมชื่นปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ให้มีใจจงรักด้วยภักดี                         ติดขุนแผนเดินรี่ตามหลังไป…

วันหนึ่ง ขุนแผนคิดถึงนางวันทองซึ่งถูกขุนช้างหลอกไปเป็นเมีย จึงบุกขึ้นไปบนเรือนขุนช้าง แล้วชวนนางวันทองหนีไปด้วยกัน ขุนแผนพานางวันทองหนีเข้าป่าไปพร้อมกับม้าสีหมอก  ขุนช้างยกพลตามไปก็รบแพ้ขุนแผน  พระพันวษาให้ยกทัพตามไปจับตัว  ตอนนี้ขุนแผนมีดาบฟ้าฟื้น และกุมารทองแล้ว ขุนแผนเสกหญ้าเป็นหุ่นยนต์ถืออาวุธออกรบกับกองทัพหลวง จนกองทัพถูกตีแตกแม่ทัพสองคนตายในที่รบ  ขุนแผน วันทองและม้าสีหมอกหลบอยู่ในป่าหลายเดือน จนนางวันทองตั้งท้องกลางป่า  ขุนแผนนึกถึงความผิดที่รบกับกองทัพพระพันวษา จึงเข้ามอบตัวกับพระพิจิตรที่เมืองพิจิตร แล้วฝากม้าสีหมอกไว้กับพระพิจิตร

สีหมอกเอ๋ยท่านจะส่งเราลงไป                       จะตายเป็นเป็นกระไรไม่รู้ที่
จึงพากันเข้ามาลาพาชี                                       แม้นมิตายครานี้คงพบกัน
วันทองว่าพี่สีหมอกของน้องเอ๋ย              เคยยากมาด้วยน้องในไพรสัณฑ์
ยุงลิ้นมันกินมาหลายวัน                                   อุตส่าห์ให้น้องนั้นได้ขี่มา
ต้องบุกป่าผ่าดงพงชัฏ                                       ดั้นดัดดงรามหนามหนา
อดอยากหญ้าฟางกลางพนา                             เป็นหลายวันคืนในป่ารก…
ขุนแผนว่าลาแล้วเจ้าเพื่อนยาก                        จะตายจากหรือจะพบกันวันหลัง
แม้นถ้าไม่มรณาชีวายัง                                     ถึงติดคุกคุมขังไม่วายคิด
จะเร็วช้าถ้ามีเวลาออก                                       จะมาหาสีหมอกที่พิจิตร
อยากจะพาเจ้าไปก็ได้คิด                                   ขุกชีวิตเรานี้จะมรณา…
สีหมอกฟังว่าน้ำตาไหล                                    ด้วยพระมนต์ดลใจให้ประจักษ์
กรอกหัวตัวสั่นรันทดนัก                                   เชยพักตร์แทบเท้าทั้งสองรา…

ระหว่างขุนแผนและนางวันทองถูกคุมกลับมากรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงลพบุรี ขุนแผนได้ซ่อนดาบฟ้าฟื้นไว้ในโพรงต้นไทรริมน้ำแล้วร่ายคาถาปิดปากโพรงไม่ให้ใครเห็นดาบได้  เมื่อถูกนำตัวขึ้นศาล ขุนแผนก็เล่าความจริงให้พระพันวษาฟังเรื่องที่ขุนช้างแย่งนางวันทองไป  ขุนแผนชนะคดีความกับขุนช้าง  ส่วนความผิดที่รบกับทัพหลวงทั้งยังฆ่าแม่ทัพตายไปสองคนนั้นพระพันวษาทรงยกโทษให้เพราะมีความชอบเมื่อครั้งอาสาไปรบเชียงใหม่จนได้ชัยชนะ  เมื่อมีศึกเชียงใหม่ครั้งที่สอง พลายงามลูกชายขุนแผนที่เกิดกับนางวันทองอาสานำทัพและขอตัวขุนแผนมาช่วย  ขุนแผนซึ่งติดคุกอยู่เพราะไปทูลขอนางลาวทองซึ่งถูกกักบริเวณอยู่ในวังจึงได้ออกจากคุก  ช่วยลูกชายนำทัพไปตีเชียงใหม่  ระหว่างทางได้แวะเมืองพิจิตร ขุนแผนได้พบม้าสีหมอกอีกครั้งหนึ่ง

ขุนแผนถามพระพิจิตรพลัน                            สีหมอกนั้นอยู่ดีฤๅเจ้าขา
พระพิจิตรว่าสีหมอกม้า                                    อยู่ดีแต่ชราถนัดใจ
เนื้อหนังพานติดจะเหี่ยวคร่ำ                           อันหญ้าน้ำค่ำเช้าหาขาดไม่
ข้าก็ช่วยเยี่ยมเยียนเวียนมาไป                          เกณฑ์ให้ไอ้จันมันเลี้ยงดู
ขุนแผนจึงชวนลูกชายพลัน                             ไปเยี่ยมม้าด้วยกันเสียสักครู่
ว่าพลางทางออกนอกประตู                              ตรงไปที่อยู่สีหมอกม้า
ไอ้จันครั้งเห็นยกมือไหว้                                  ฉันเลี้ยงไว้อ้วนพีดีนักหนา
พ่อลูกเข้าไปใกล้อาชา                                       ขุนแผนเสกหญ้าให้ม้ากิน
สีหมอกม้ามนต์เข้าดลใจ                                   จำได้รู้ประสาพูดจาสิ้น
ลงตีนโปกโปกโขกแผ่นดิน                              เพียงจะดิ้นหลุดแหล่งด้วยดีใจ
เลียชมดมทั่วทั้งกายา                                         ขุนแผนกอดม้าน้ำตาไหล
ลูบหลังสีหมอกแล้วบอกไป                             ข้านี้ต้องราชภัยเพิ่งพ้นมา
ไปติดคุกจนลูกทูลขอโทษ                        ท่านปล่อยโปรดจึงได้มาเห็นหน้า
เจ้าพลายนี้ลูกวันทองน้องยา                            ที่ท่านรับบุกป่ามากับเรา
สีหมอกฟังเหลียวหน้าหาวันทอง                   ไม่เห็นน้องอยู่ไหนให้สร้อยเศร้า
มิรู้ที่จะถามความหนักเบา                                เฝ้าแต่ดูลูกพ่อคลอน้ำตา
ขุนแผนบอกว่าข้าจะไปทัพ                              หมายจะรับไปด้วยช่วยอาสา
เพราะได้เคยเห็นใจแต่ไรมา                             จะไปได้ฤๅว่าท่านหย่อนแรง
สีหมอกดีใจจะไปทัพ                                         เต้นหรับร้องร่าดัดขาแข้ง
ดังบอกว่าข้าจะไปอย่าได้แคลง                        ขุนแผนแจ้งท่วงทีก็ดีใจ
จึงเด็ดยอดหญ้ามาเต็มมือ                                 ถือเสกด้วยพระเวทมุขใหญ่
ป้อนม้ากินหญ้าในทันใด                                 ระงับโศกโรคภัยให้บรรเทา
เดชะพระเวทวิเศษขลัง                                    สีหมอกมีกำลังขึ้นดังเก่า…

แล้วขุนแผนก็ขี่สีหมอกออกศึกเมืองเชียงใหม่ครั้งที่สองกับพลายงามลูกชาย ได้ชัยชนะอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากศึกในครั้งนี้ ก็ไม่ปรากฏชื่อของสีหมอกม้าศึกของขุนแผนยอดขุนพลอีกเลย

ใส่ความเห็น