“ไอ้ทิหรือพ่อกะทิ” หนุ่มกำพร้าพ่อแม่ อยู่ตัวคนเดียว พูดจริงทำจริง ขยันขันแข็งเอางานเอาการ ทุกคนในหมู่บ้านล้วนรักและเอ็นดูไอ้ทิ “แม่แป้ง” ลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่ปลั่งสาวสวยประจำหมู่บ้าน นางกับไอ้ทิเจอกันในวันลอยกระทง ทั้งคู่ขี่ควายสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ “ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอเอาความรักแท้ที่จริงใจฝ่าฟันข้ามไป” แล้วไอ้ทิก็รวบรวมเงินทองเท่าที่เก็บสะสมมาได้ไปบ้านผู้ใหญ่ปลั่งเพื่อสู่ขอแม่แป้ง ซึ่งผู้ใหญ่ก็ต้อนรับมันอย่างดีด้วยชายฉกรรจ์ 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือ ในที่สุดผู้ใหญ่ปลั่งก็ปิดหนทางความรักของไอ้ทิด้วยการคลุมถุงชนจัดงานแต่งงานให้ลูกสาวกับปลัดหนุ่มจากบางกอก
ไอ้ทิรู้ข่าวจึงรีบวิ่งทุรนทุรายหมายจะมาทำลายพิธี ซึ่งผู้ใหญ่ปลั่งก็รู้ดีว่าไอ้ทิต้องกระทำแบบนี้ จึงขุดหลุมพรางดักรอเอาไว้
แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้าย ก็แอบหนีหมายจะมาห้ามคนรักไม่ให้หลงกล เหตุการณ์ต่อไปนี้ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์ ได้แต่ปะติดปะต่อมาจากคำบอกเล่าของชาวบ้านแบบปากต่อปาก .. คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม แม่แป้งแอบวิ่งฝ่าความมืดออกมาดักหน้าไอ้ทิ ไอ้ทิเห็นแม่แป้งวิ่งมาก็ดีใจ รีบวิ่งไปหา แม่แป้งเห็นไอ้ทิรีบวิ่งมาก็รีบวิ่งเข้าไปหาให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
ฉับพลัน…ร่างแม่แป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ปลั่งต่อหน้าต่อตาไอ้ทิทันที อารามตกใจ ไอ้ทิรีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือ อารามดีใจ สมุนชายฉกรรจ์ 6 นายของผู้ใหญ่ปลั่งรีบเข้ามาโกยดินฝังกลบ เพราะคิดว่าก้นหลุมมีเพียงไอ้ทิผู้เดียวที่อยู่ในนั้น
รุ่งเช้า ผู้ใหญ่ปลั่งเดินยิ้มมาขุดหลุมเพื่อดูผล ภาพเบื้องล่างพบไอ้ทิตระกองกอดทับร่างแม่แป้งลูกสาวของตน นอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อยิ้มถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่ปลั่งสั่งลูกสมุนสร้างเจดีย์คลุมครอบปิดหลุมนั้นไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนทั่วไปว่า อย่าคิดทำร้ายหรือทำลายความรักของใครอีกเลย สถานที่ตั้งเจดีย์นั้นไม่มีใครรู้แน่นอน จะมีก็แต่เพียงอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี
ทุกแรมหกค่ำเดือนหก ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้ทิกับแม่แป้งจะตื่นตั้งแต่มืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวาน ปรุงจากแป้งและกะทิ บรรจงแคะจากพิมพ์ แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกัน เป็นสัญลักษณ์ว่า จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป ขนมนี้เรียกขานกันในนาม ขนมของ “คนรักกัน” หรือเรียกย่อๆ ว่า ” ขนม ค.ร.ก. ”
เรื่องเล่าน่ารักๆ ซึ้งปนเศร้าของขนมซึ่งทำขายกันตามข้างถนน ปากซอยเข้าบ้าน ตลาดสด ตลาดนัด คงทำให้ทุกคนที่ได้อ่านมีรอยยิ้มเล็กๆเกิดขึ้นในหัวใจ คนไทยทุกเพศทุกวัย ไม่ว่ายากดีมีจนรู้จักขนมครก ฉันจำได้ว่าเมื่อลูกคนแรกอายุ 4 เดือน เริ่มหัดกินอาหารเสริมนอกจากนม น้ำส้ม, กล้วยน้ำว้าครูด, ข้าวบด, ไข่แดง ขนมครก, ขนมกรวยเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่คุณย่า คุณยายมักใช้ป้อนลูกหลานให้อิ่มท้อง ขนมครก จึงเป็นอาหารมื้อแรกๆของเด็กไทย
ขนมครก เป็นขนมไทยโบราณชนิดหนึ่ง ทำจากแป้ง น้ำตาล และกะทิ แล้วเทลงบนเตาหลุม เวลาจะทานต้องแคะออกมา เป็นแผ่นวงกลม แล้วมักวางประกบกันตอนรับประทาน เป็นขนมของไทยที่มีมาตั้งแต่โบราณ มีหลักฐานว่าขนมครกเป็นที่นิยมแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีการทำเตาขนมครกขายตั้งแต่ยุคนั้น ลักษณะเป็นหลุมของเตาขนมครกนี่เองที่มีลักษณะคล้ายครกตำข้าวจึงน่าจะเป็นที่มาของชื่อขนมครก เพราะขนมไทยมักมีชื่อเรียกตามลักษณะขนม หรือภาชนะที่ใส่ เช่น ขนมถ้วยหน้ากะทิ ถ้าใส่ถ้วยตะไลก็เรียก “ขนมถ้วย” แต่เมื่อนำขนมใส่ลงในกรวยใบตองแล้วนึ่งให้สุกก็เรียกว่า “ขนมกรวย”หรือ “ขนมหางหนู” ก็เพราะปลายแหลมๆนิ่มๆ ขนมครกและขนมไทยอื่นๆก็คงเหมือนกัน
ขนมไทย มีส่วนประกอบที่เป็นส่วนผสมหลัก 3 ชนิด คือ แป้ง น้ำตาลและมะพร้าว ซึ่งเป็นส่วนผสมที่หาได้ง่าย ต้นทุนต่ำ ส่วนขนมที่ทำจากไข่นั้นเพิ่งมีขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เช่น ฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด ขนมหม้อแกง ฯลฯ ซึ่งคิดทำขึ้นโดยท้าวทองกีบม้าซึ่งเป็นลูกครึ่งโปรตุเกส ญี่ปุ่น และเบงกอล ขนมครกจึงเป็นขนมไทยแท้ แต่เดิมขนมครกใช้ข้าวเจ้าแช่น้ำโม่รวมกับหางกะทิ ข้าวสวย และมะพร้าวทึนทึกขูดฝอย ผสมเกลือเล็กน้อยใช้เป็นตัวขนม ส่วนหน้าของขนมครกเป็นหัวกะทิ แต่ขนมครกที่ขายกันทั่วไปทุกวันนี้มักมีแต่ตัวขนมนิ่มๆ กินกับน้ำตาลทราย หรืออีกแบบหนึ่งที่เคยพบมีตัวขนมด้านนอกกรอบเกรียม ส่วนหน้าหัวกะทิมีรสหวานโรยด้วยเผือก ฟักทอง ต้นหอม ฯลฯ ฉันชอบขนมครกแบบแรกมากกว่าอาจเพราะเคยกินมาแต่เด็ก และเป็นขนมครกแบบชาวบ้าน ส่วนขนมครกมีหน้าเป็นลักษณะของขนมครกชาววัง แต่ก็มีผู้นิยมซื้อหามารับประทานกันเยอะ คนไทยนิยมรับประทานขนมครกร้อนๆ ตอนเช้า แต่ก็มีขนมครกขายกันทั้งตลาดเช้า ตลาดเย็น บางคนรับประทานแทนข้าวเช้าข้าวเย็น บางคนรับประทานกับกาแฟคล้ายปาท่องโก๋ บางคนรับประทานเล่นๆเป็นขนม ขนมครกทำให้อิ่มท้องได้ซักพักใหญ่ๆทีเดียว
เรื่องเล่าเกี่ยวกับขนมครกยังมีอีกมากมาย มีหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในธรรมบทเรื่องหนึ่งใจความโดยสรุปว่า “ พระองค์ต้องการสั่งสอนโกสิยะเศรษฐีขี้เหนียว แม้ว่าครอบครัวจะร่ำรวยก็ตาม โดยวันหนึ่งเศรษฐีเห็นยาจกยากจนกำลังกินขนมครกก็อยากกินบ้าง แต่ด้วยความขี้เหนียวก็อดกลั้นความอยากไว้เพราะกลัวสิ้นเปลืองเงินทอง เมื่อภรรยาทราบก็แอบทำขนมครกโดยไม่ให้ใครรู้เพื่อจะให้สามีกินคนเดียว เมื่อพระพุทธเจ้าทราบจึงให้พระโมคคัลลานะไปอบรมสั่งสอนโดยแสดงผลของการให้ทาน เมื่อเศรษฐีได้ฟังก็เลื่อมใสนำขนมครกไปถวายพระพุทธเจ้า เปลี่ยนนิสัยกลายเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อทุกคน และหมั่นทำบุญให้ทานเป็นกิจวัตร ” เพื่อสืบทอดประเพณีทำบุญตักบาตรที่มีมาแต่พุทธกาลจึงเกิดพระราชพิธีที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 คือประเพณีการตักบาตรขนมเบื้องซึ่งเป็นพระราชพิธีในวัง ทุกวันนี้ในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี ตั้งแต่ พ.ศ.2437 ที่วัดแก่นจันทร์เจริญ จังหวัดสมุทร สงครามชาวบ้าน ลูกเล็กเด็กแดง ผู้เฒ่าผู้แก่จะมาร่วมประเพณีตักบาตรขนมครกและน้ำตาลทราย ต่างร่วมแรงร่วมใจ เป็นส่วนหนึ่งในการจัดงานประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนและมีเพียงแห่งเดียวในโลก ซึ่งทางชุมชนจัดต่อเนื่องยาวนานถึงร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยเริ่มจากสมัยนั้นชาวบ้านที่มาทำบุญตักบาตรโดยมากมีฐานะยากจน ท่านเจ้าอาวาสอยากให้ชาวบ้านทำบุญตักบาตรด้วยวิธีที่ไม่ต้องเสียเงินจำนวนมาก จึงให้นำขนมครกมาถวายแทนการตักบาตรด้วยอาหาร เพราะขนมครกสำหรับผู้คนที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องซื้อหา วัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบของขนมครกก็หาได้ไม่ยากในชุมชน อีกทั้งยังเป็นขนมหวานซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครนำมาถวาย จึงกลายเป็นประเพณีการตักบาตรขนมครกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
จากงานเล็กๆ ที่มีชาวบ้านในชุมชนช่วยกันจัดด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา แรก เริ่มเดิมที ชาวบ้านบอกว่าต่างคนต่างทำขนมครกกันเองที่บ้าน แล้วนำมาตักบาตรรวมกันที่วัด โดยไม่ผิดแผกกับปัจจุบัน คือนำขนมครกใส่ใบตองนำไปวางถวายให้พระสงฆ์ไว้บนถาด และนำน้ำตาลทรายใส่บาตรที่เรียงรายอยู่ ปัจจุบันประเพณีตักบาตรขนมครกได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ชาวบ้านจึงต้องมาช่วยกันทำขนมครก ทั้งหยอด แคะ กันที่วัด เพื่อให้ขนมครกมีปริมาณเพียงพอต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่อยากมาร่วมทำบุญกัน กลายเป็นงานยิ่งใหญ่ระดับจังหวัด มีส่วนราชการเข้ามาช่วยเหลือในหลายๆ ด้าน งานนี้จึงมีชื่อเสียงมีนักท่องเที่ยวสนใจเข้ามาแวะเวียนเยี่ยมชมและทำบุญกันล้นหลาม ผู้คนมากมาย ทั้งชาวบ้านและเด็กๆ ในชุมชน รวมไปถึงนักท่อง เที่ยว ต่างช่วยกันหยอด แคะ และช่วยนำขนมครกจัดเรียงใส่ในกระทงใบตองสีเขียวสวยไปวางเรียงบริเวณหน้าศาลาการเปรียญ ทั่วทั้งบริเวณงานหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นขนมครกร้อนๆ การเตรียมงานจึงต้องเริ่มกันตั้งแต่ฟ้ายังมืด ชาวบ้านจะมารวมตัวกัน เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันตั้งแต่การโม่แป้งขนมครกเลยทีเดียว มีหลายส่วนที่ชาวบ้านร่วมกันช่วยดูแลและจัดการ เด็กๆต่างมาเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆเพื่อให้ซึมซับความสำคัญของงานบุญประเพณีประจำถิ่นของตน และเกิดความรู้สึกอยากสืบสานไว้ต่อไป สิ่งที่ชาวบ้านและเด็กๆ ได้รับหลังจากจัดงานบุญประเพณีตักบาตรขนมครกเป็นความสามัคคีที่แฝงมาในความหอมกรุ่นของขนมครกหลายร้อยคู่ที่ ร่วมแรงแข็งขันทำขึ้นด้วยความศรัทธา ขนมแห่งความรักกรุ่นกลิ่นแห่งศรัธาทางพระพุทธศาสนา ส่งต่อความรักความห่วงใยจากปู่ตาย่ายายสู่ลูกหลาน รุ่น สู่รุ่น หอมกรุ่น อุ่นลิ้น ละมุนละไมในหัวใจ ขนมของคนรักกัน ขนมครก…อาหารมื้อแรกๆของคนไทย.
นางภัทรพร ช่วยชนะ